6 มิ.ย. 2551


วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551
Friday 6 June 2008

พยาบาลมาแอบเจาะเลือดน้องไปตรวจแต่เช้ามืด และเช้านี้แพทย์คีโมของน้องเข้ามาเยี่ยมแต่เช้าเหมือนเดิม แพทย์คีโมก็ไม่ได้อธิบายอะไรนอกจากว่า เดี๋ยวจะมีแพทย์ผ่าตัดมาดูและแพทย์ผู้นั้นจะอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากพวกเรายังเป็นห่วงมะเร็งที่เขาว่ามันโตไวเหลือเกินอยู่ จึงถามแพทย์คีโมไป แพทย์คีโมบอกว่าตอนนี้เรายังคงคีโมไม่ได้ เราเคยได้ยินน้องชายพูดถึงยาคีโมแบบทานที่ชื่อว่า Tarceva (ซึ่งเป็นยาที่เรียกกันง่ายๆ ภาษาชาวบ้านว่าเป็นยาคีโมที่ใช้ทานเองได้ ราคาเม็ดละสามพันกว่าบาท) เราก็เลยถามแพทย์คีโมไป แต่แพทย์คีโมกลับตอบเราว่า “ตอนนี้ผมว่าเราไม่ควรจะรีบในเรื่องยา เราต้องแก้ปัญหาตรงนี้ไปก่อน” โอเคเป็นอันว่าพวกเราต้องรักษาเรื่องหัวใจให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นแพทย์คีโมก็ออกไป แต่ไม่นานนัก พยาบาลก็หยิบยามาให้น้องหนึ่งเม็ด เป็นยาใหม่ที่ไม่เคยเห็น เราจึงรีบถามและไปขอดูจากแพค เพราะพยาบาลยังไม่ได้แกะออกจากแพค จึงเห็นว่ายานั้นเขียนว่า Tarceva คำถามของเราคำถามต่อไปก็เกิดขึ้นทันทีว่า ยานี้จะต้องทานเมื่อไหร่ ก่อนอาหารหรือหลังอาหาร คำตอบของพยาบาลที่เราได้ฟังก็คือ ตอนไหนก็ได้ อยากจะทานเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เพราะความดีใจว่า ในที่สุดน้องได้ยามาดูแลเรื่องมะเร็งไปด้วยพร้อมกัน เมื่อน้องชายโทรมา เราก็รีบบอกไปทันทีว่าตกลงแพทย์คีโมสั่งจ่ายยาตัวที่น้องพูดถึงแล้ว น้องชายได้ยินดังนั้นก็รีบย้ำเกี่ยวกับการรับประทานให้ฟังทันทีว่า “ต้องทานก่อนอาหารหนึ่งชั่วโมง หรือทานหลังอาหารสองชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายความว่ายาตัวนี้จะต้องทานตอนที่ท้องว่างนั่นเอง และที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือจะต้องทานในเวลาเดียวกันของทุกๆ วัน” เราเลยบอกน้องไปว่า เมื่อสักครู่ถามพยาบาลไปแล้ว แต่พยาบาลบอกว่าจะทานเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เลยให้น้องทานหลังอาหารไปแล้ว น้องชายเลยบอกว่างั้นพรุ่งนี้เริ่มใหม่ให้เป็นเวลา และไม่ควรให้ยาขาดจากกันภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง เราแอบซุบซิบให้น้องสาวฟังว่า อืมนี่ขนาดน้องเราไม่ได้จบด้านนี้มา ยังรู้มากกว่าพยาบาลซะอีก และที่นี่ไม่มีใครอธิบายเรื่องยาให้เราฟังเลย ซึ่งภายหลังน้องชายยังมีการย้ำอีกว่า ยานี้ห้ามทานกับผลไม้ชนิดนั้นชนิดนี้ เพราะน้องชายทั้งสองได้ศึกษามาเป็นอย่างดีเกี่ยวกับยาทุกตัวที่ใช้กับน้องสาว

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนเข็นเครื่องเอกซเรย์เครื่องใหญ่มาที่ห้องของน้อง บอกว่าจะขอเอกซเรย์ปอดน้องในวันนี้ และหลังจากนั้นไม่นาน แพทย์ผ่าตัดที่บอกว่าติดสอนอยู่ในช่วงเช้าก็เข้ามาเยี่ยม แพทย์ผ่าตัดคนนี้มีอัธยาศัยที่ดีและอธิบายให้พวกเราฟังโดยการวาดภาพให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกายของน้อง พร้อมทั้งอธิบายว่าแพทย์ผ่าตัดจะทำการผ่าตัดให้น้องอย่างไร ซึ่งการผ่าตัดของแพทย์นี้เรียกว่า Pericardial Window ก็คือผ่าเข้าไปทางปอดด้านซ้าย และผ่าตัดที่เยื่อหุ้มหัวใจให้มีขนาดกว้างพอที่จะไม่ให้มีน้ำท่วมอีก ถ้าตัวโรคสร้างน้ำอีก มันก็จะสามารถไหลลงมาได้ แต่เราก็ยังสงสัยอีกว่าที่ใครๆ ก็บอกเราว่า ถ้าผ่าตัดบริเวณที่เป็นมะเร็ง แล้วมันจะลาม ซึ่งเราก็ถามแพทย์ผ่าตัดไปว่า ถ้าแพทย์ผ่าตัดไปผ่าปอดด้านซ้ายแล้วจะลามต่อหรือไม่ แพทย์ผ่าตัดบอกว่าตอนนี้ต้องผ่าตัดแบบนี้ไปก่อน มิฉะนั้นน้องจะหายใจไม่ได้และนอนไม่ได้ นอกจากนั้นจะมีอาการเหนื่อยมากขึ้นไปอีก น้องสาวจึงถามแพทย์ผ่าตัดว่าผ่าตัดได้เลยหรือไม่ ซึ่งแพทย์ผ่าตัดบอกว่าจะต้องงดอาหารครบหกชั่วโมง ซึ่ง ณ เวลานั้นน้องก็งดอาหารมาครบหกชั่วโมงพอดี น้องสาวจึงบอกว่าจะรับการผ่าตัดทันที แพทย์ผ่าตัดจึงแจ้งชื่อแพทย์แผนกต่างๆ ของน้องที่จะร่วมกันดูแลการผ่าตัดครั้งนี้ หรือภาษาเข้าใจง่ายก็คือลงความเห็นว่าควรผ่า ก็จะมีแพทย์ทางคีโม แพทย์ทางหัวใจคนเดิม แพทย์ทางไต (เพราะว่าน้องสาวท้องเสียและอาเจียนในช่วงที่ฉายแสง จึงทำให้แร่ธาตุในตัวมีปัญหา) และแพทย์ทางปอด ซึ่งแพทย์ทางปอดเป็นแพทย์คนเดิมที่วินิจฉัยโรคน้องผิด พวกเราจึงขอเปลี่ยนเป็นแพทย์ทางปอดอีกคนที่เป็นแพทย์ประจำของคุณแม่อยู่ และแพทย์คนนี้เป็นแพทย์อาวุโสที่มีชื่อเสียงของโรงพยาบาลนี้ จากนั้นแพทย์ผ่าตัดก็เรียกคุณพ่อและเราออกไปอธิบายต่อที่วอร์ด ท่านก็ชี้ฟิล์มเอกซเรย์และอธิบายให้ฟังต่อว่า น้องจะต้องผ่าตัดออกมาก่อน เพื่อให้น้องสบายขึ้น ไม่นานนักแพทย์ต่างๆ ก็ผลัดกันเข้ามาทักทายน้องและลงความเห็น

เป็นอันว่าวันนี้น้องเข้ารับการผ่าตัด และแพทย์ผ่าตัดก็ให้น้องอยู่ที่ห้องไอซียู น้องเข้ารับการผ่าตัดประมาณเกือบบ่ายสองโมง และออกมาประมาณสี่โมงกว่าได้ เมื่อน้องออกมาเราก็รีบไปคุยกับแพทย์ผ่าตัดซึ่งแพทย์ผ่าตัดก็อธิบายว่า เคสของน้องนั้น มีน้ำที่เยื่อหุ้มหัวใจอยู่ 1,500 ซีซี ซึ่งเมื่อแพทย์ผ่าตัดเจาะเข้าไปน้ำนั้น น้ำก็พุ่งออกมาทันที และแพทย์ผ่าตัดได้ผ่าเยื่อหุ้มหัวใจออกมาประมาณเส้นผ่าศูนย์กลางแปดเซนติเมตร น้ำที่ไหลออกมานั้นยังไม่หมด ดังนั้นจึงยังมีการใส่ท่อไว้ก่อนเพื่อให้น้ำค่อยๆ เทออกมาโดยธรรมชาติ คืนนี้น้องจะต้องค้างที่ไอซียู เพราะจะได้มีคนคอยดูอย่างใกล้ชิด เมื่อเราเข้าไปดูน้อง ได้แต่น้ำตาไหลเพราะสงสารน้องมาก น้องยังคงหลับๆ ตื่นๆ เพราะฤทธิ์ยาที่ยังค้างอยู่ อย่างหนึ่งที่น้องไม่เคยลดละนั่นก็คือความเข้มแข็งของน้องๆ เปิดตามาเห็นเรา เราก็อธิบายให้เขาฟัง แต่ว่าน้องไม่สามารถสื่อสารอะไรกับเราได้ เพราะว่าน้องโดนใส่ท่อช่วยหายใจอยู่

วันนั้นถึงแม้น้องจะต้องอยู่ไอซียูทั้งวัน เพราะเรานั่งรออยู่หน้าห้องตลอด ก็จะเห็นแพทย์ต่างๆ ผลัดกันเข้ามาดูน้อง เรามีโอกาสได้ถามอาการน้องกับแพทย์ทางหัวใจ ซึ่งแพทย์ทางหัวใจบอกว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเยื่อหุ้มที่ตัดออกไปค่อนข้างจะใหญ่ พอที่จะช่วยให้ไม่มีน้ำท่วมที่หัวใจของน้องอีกนาน อย่างไรก็ตามแพทย์ได้อธิบายต่อว่า ยังไงเซลล์ของคนเราจะต้องมีการเจริญเติบโต สักวันเยื่อหุ้มหัวใจที่ตัดออกไปก็จะต้องสมานกันขึ้นมาอีก แต่แพทย์ทางหัวใจคิดว่าคงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร

ไอซียูที่โรงพยาบาลนี้ค่อนข้างเข้มงวด ไม่ให้เยี่ยมหลังสามทุ่ม และไม่ให้เข้าเยี่ยมมากกว่าสองคน นอกจากนั้นห้ามนั่งค้างอยู่ในห้อง เรารู้สึกสงสารน้องมาก เพราะว่าน้องไม่ชอบอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวแบบนี้ ปกติจะต้องมีพี่น้องล้อมรอบ หรือไม่ก็จะต้องมีพวกเพื่อนๆ ของน้องอยู่รอบข้างเสมอ และตั้งแต่น้องป่วยนั้น ไม่ใช่เพียงแค่คนในครอบครัวทั้งหมด แต่เพื่อนๆ ของน้องก็แวะเวียนกันมาเยี่ยมเป็นกำลังใจให้น้องตลอด พวกเราต้องรอหน้าห้องไอซียูผลัดกันเข้าไปดูน้อง ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือเป็นญาติก็นั่งคุยกันอยู่ด้านนอกทั้งหมด พอช่วงหลังๆ ที่เข้าไปเยี่ยมน้องๆ เริ่มมีสติแล้ว พยายามจะสื่อสารกับพวกเรา แต่ก็ไม่สะดวกเนื่องจากน้องโดนใส่ท่ออยู่ และท่อก็ยังเสียบอยู่ เราจึงต้องขอกระดาษพยาบาลมาเขียนสื่อสารกัน น้องเขียนบอกเราว่ามีเสมหะ ให้ช่วยบอกพยาบาลหน่อย พยาบาลที่ไอซียูนั้นเก่งจริงๆ แต่ต้องยอมรับว่าบางคนดุเอาเรื่อง พยาบาลบอกน้องว่ายังดูดไม่ได้ ให้น้องทนไปก่อน จากนั้นพวกเราก็สลับกันเข้า สลับกันออกจนเขาไล่ว่าจะปิดชั้นของไอซียู พวกเราถึงลงลิฟท์กันไป

ผลการตรวจเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์
(Complete Blood Count: CBC)

HCT/HB - 32.4/10.9
WBC - 12,700
Neutrophil - 81
Lymphocyte - 13
Monocyte - 6
Platelets - 333,000

Quote:

ยา Tarceva เป็นยาชนิดแรกและเป็นยารับประทานเพียงชนิดเดียวที่ออกฤทธิ์ยับยั้ง EGFR ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งลุกลามในร่างกาย และช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดระยะรุนแรงและผู้ป่วยโรคมะเร็งตับอ่อนรอดชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด และมะเร็งตับอ่อนส่วนใหญ่ได้รับการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดซึ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้ง่ายเนื่องจากธรรมชาติของสารพิษที่คั่งค้างอยู่ในร่างกาย แต่ Tarceva ออกฤทธิ์ต่างจากการักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดเนื่องจากยาจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเซลล์เนื้อร้าย ที่ไม่ทำใหเกิดอาการข้างเคียงอย่างที่พบได้ทั่วไปในวิธีการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด
ที่มา

Quote:

วิธีใช้ยา Tarceva
-ยานี้อยู่ในรูปแบบยาเม็ด ใช้สำหรับรับประทาน
-รับประทานยานี้ตอนท้องว่าง โดยรับประทานก่อนอาหาร อย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
-โดยทั่วไปรับประทานยานี้วันละ 1 ครั้ง
-ควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกวัน
-ห้ามบดหรือเคี้ยวเม็ดยา
-ใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
ที่มา

แสดงความคิดเห็น

Filtered HTML

  • To post pieces of code, surround them with <code>...</code> tags. For PHP code, you can use <?php ... ?>, which will also colour it based on syntax.
  • Web page addresses and e-mail addresses turn into links automatically.
  • You may quote other posts using [quote] tags.
  • Allowed HTML tags: <a> <em> <strong> <cite> <blockquote> <code> <ul> <ol> <li> <dl> <dt> <dd>
  • Lines and paragraphs break automatically.

Comment Input

  • Web page addresses and e-mail addresses turn into links automatically.
  • Allowed HTML tags: <a> <em> <strong> <cite> <code> <ul> <ol> <li> <dl> <dt> <dd> <p> <img> <center> <font> <u> <br/>
  • Lines and paragraphs break automatically.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Web page addresses and e-mail addresses turn into links automatically.
  • Lines and paragraphs break automatically.